วิสัยทัศน์ผู้จัดทำ

การศึกษา คือแสงสว่างเว็บนี้เขียนเพื่อเผยแพร่ความรู้ และถ่ายทอดประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่อยู่ในห้วงการเปลี่ยนถ่ายจากสังคมชนบทสู่สังคมเมือง ซึ่งไม่มีโอกาสที่จะย้อนกลับไปนับหรือคิดถึงมันได้อีก ผู้เขียนจึงอยากถ่ายทอดถึงระบบการเปลี่ยนแปลงของสังคมคนชนบทสู่สังคมคนสมัยใหม่ชาวบ้านปังกู


สมัครงานราชการและงานทั่วไป

แผนที่บ้านปังกู

01 สิงหาคม, 2553

ขอเชิญผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตร วัดบ้านปังกู 28 ธ.ค.53-4 ม.ค.54

เอาบุญมาฝาก
ชอเชิญจองลูกนิมิตร หรือรับเป็นเจ้าภาพโรงทานในงานทำบุญฝังลูกนิมิตร วัดบ้านปังกู อ.ประโคนชัย
จ.บุรีรัมย์ ใน 28 ธ.ค.53 ถึง 4 ม.ค.54
สำหรับทานใดที่ ประสงค์จะเป็นเจ้าภาพโรงทาน หรือจะร่วมทำบุญเชิญ
เราในนามคนบ้านปังกูขอเชิญร่วมทำบุญด้วยกันช่วงปีใหม่ มีน้อยช่วยน้อย ในการสร้างโรคทานสมทบทุนงานฝังลูกนิมิตร
ประตูเข้าวัด หอระฆังปัจจุบันยังไม่มีงบหรือปัจจัยในการบูรณะ

กุฎิหลังใหญ่กำลังบูรณะยังขาดปัจจัย

ขอเชิญทุกท่านร่วมกุศลครั้งนี้ด้วยกันนะครับ หากมีข้อสังสัย หรือจะร่วมทำบุญสร้างโรงทาน
สอบถามได้ที่กระผมได้ ซึ่งตอนนี้กำลังสร้างศาลาที่พักร้อน และศาลาโรงทานเพื่อเตรียมการงานฝังลูกนิมิตร

11 กรกฎาคม, 2553

ร่วมปลูกต้นไม้

http://www.milliontreesforking.com/home.rhtml

26 กุมภาพันธ์, 2553

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



“บัดนี้ทุกคนได้ตระหนักแล้วว่า ธรรมชาติแวดล้อมของเรา ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดิน ป่าไม้ แม่น้ำ ทะเล อากาศ มิได้เป็นสิ่งสวยงามเท่านั้น หากแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพของเรา และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของเราไว้ให้ดีขึ้น ก็เท่ากับเป็นการปกปักรักษาอนาคตไว้ให้ลูกหลานของเราเอง”


“การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายเป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่ดี และสังคมที่มั่นคงเพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้นโดยปรกติจะอำนวยผลให้สุขภาพจิตสมบูรณ์และเมื่อมีสุขภาพดีพร้อมทั่งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์สร้างสรรค์เศรษฐกิจและสังคมของบ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือเป็นผู้สร้างมิใช่เป็นผู้ถ่วงความเจริญ”


“หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้”


“การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศของภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา ภูมิประเทศทางสังคมวิทยาคือนิสัยใจคอของคนเราจะไปบังคับให้คนคิดอย่างอื่นไม่ได้แต่ถ้าเราเข้าไปแล้วเราเข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไร จริง ๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง”


“พื้นที่บริเวณต้นนี้เหนือเขื่อนกักเก็บน้ำแก่งกระจาน สภาพป่าไม้ส่วนใหญ่ยังดีอยู่ แต่จะถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น เพราะมีสัมปทานให้บริษัทนำไม้ออก และมีราษฎรเข้าไปบุกเบิกพื้นที่ทำกินเพิ่มขึ้น การนำไม้ออกนั้นในทางปฏิบัติจะไม่เป็นไปตามทฤษฎีที่จะยังคงรักษาสภาพพื้นที่ป่าไว้ได้ ดังนั้นในการให้สัมปทานนำไม้ออก ควรพิจารณาพื้นที่แยกเป็นบริเวณลุ่มน้ำของแต่ละลำน้ำโดยละเอียดและรอบคอบ เพื่อพิจารณาสัมปทานให้แต่ละบริเวณส่วนการแก้ไขปัญหาเรื่องราษฎรเข้าไปบุกเบิกพื้นที่ป่าเพื่อเป็นที่ทำกินนั้น ควรดำเนินการให้เปลี่ยนจากการที่ราษฎรบุกรุกเข้าไปทำลายพื้นที่ป่าเพื่อเป็นที่ทำกินนั้น ควรดำเนินการให้เปลี่ยนจากการที่ราษฎรบุกรุกเข้าไปทำลายพื้นที่ป่าโดยไม่มีการควบคุม ให้เป็นการจัดสรรที่ดินในพื้นที่ป่า ให้ราษฎรเข้าทำกินโดยมีการควบคุม คือให้พิจารณาพื้นที่ป่าในลุ่มน้ำของลำห้วยต่าง ๆ เลือกบริเวณที่ค่อนข้างราบ เนื้อดินเหมาะแก่การเพาะปลูก และมีแหล่งน้ำที่จะทำการชลประทานได้ ซึ่งเหมาะที่จะเปิดเป็นพื้นที่เพาะปลูกจัดสรรให้ราษฎรได้เข้าทำกิน และจัดพื้นที่ป่าติดต่อกันบริเวณเชิงเขาให้เป็นป่าใช้สอยปลูกไม้โตเร็ว เพื่อให้ราษฎรมีไม้ใช้ทำฟืนและประโยชน์อื่น ๆ ส่วนพื้นที่บนไหล่เขาขึ้นไปให้รักษาไว้เป็นป่าต้นน้ำลำธาร อบรมราษฎรที่จัดให้เข้าทำกินในพื้นที่จัดสรร ให้รักและหวงแหนป่าไม้ต้นน้ำ ให้ร่วมกันคุ้มครองรักษาไม่ให้ผู้อื่นมาทำลาย จัดให้ราษฎรในพื้นที่ดินจัดสรรรวมกันตั้งเป็นสหกรณ์ต่อไป อาจมอบหมายให้หลาย ๆ สหกรณ์ร่วมกันเป็นผู้รับสัมปทานการทำไม้ ออกของป่าบริเวณนั้นก็ได้”


“การแก้ปัญหาเรื่องราษฎรเข้าไปบุกเบิกพื้นที่ป่าเป็นที่ทำกินนั้นควรดำเนินการให้เปลี่ยนจากการที่ราษฎรบุกรุกเข้าไปทำลายป่าโดยไม่มีการควบคุมให้เป็นการจัดสรรที่ดินในพื้นที่ป่าให้ราษฎรทำกินโดยมีการควบคุม”


พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ข้างต้น คือที่มาของแนวพระราชดำริในการจัดสรรที่ดินตามพระราชประสงค์ในหลาย ๆ พื้นที่ของประเทศรวมทั้งบริเวณตำบลดอนขุนห้วย อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี


“ในเรื่องของสภาพแวดล้อมนั้น จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้มีความเดือดร้อนต่าง ๆ มากขึ้น เช่น อาจจะน้ำท่วมหรือว่าน้ำแล้งกะทันหันนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าในเรื่องของพืชธรรมชาติ ป่าไม้ หรือดินถูกน้ำทำลายไป เพราะฉะนั้นถ้าเราศึกษาได้ดีถึงเรื่องพวกนี้ หาวิธีแก้ไข ก็จะสามารถทำให้ต่อไปเราได้รักษาสมบัติของตนเองเอาไว้ได้”

“ให้กำเมล็ดไม้แล้วหว่านออกไปมันจะขึ้นอย่างไรก็ให้มันขึ้นไปเหมือนกับแม่ไม้ต้นหนึ่งที่ล้มลงเม็ดกระจายอย่างไรก็ให้อยู่อย่างนั้น”


“ให้ทำการอนุรักษ์พื้นที่เขานางพันธุรัตไว้เป็นมรดกของชาติ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาถึงตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา เกี่ยวกับนางพันธุรัตในวรรณคดีไทยเรื่องสังข์ทองซึ่งเป็นประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ายิ่งของประเทศไว้”

พระราชดำรัส

ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


ที่มา : พระมหากรุณาธิคุณ กองทัพภาคที่ ๑, ๒๕๔๗

หลักการทรงงาน

หลักการทรงงาน
ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
๑. “พออยู่พอกิน – คุ้มค่ามากกว่าคุ้มทุน – ขาดทุนคือกำไร”
แนวคิดและทฤษฎีการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงมุ่งเน้นให้ผลการดำเนินงานตกถึงมือประชาชนโดยตรงเป็นเบื้องแรก เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า นั่นคือ เพื่อความ “พออยู่พอกิน” ขณะเดียวกันก็จะทรงปูพื้นฐานไว้สำหรับความ “อยู่ดีกินดี” ต่อไปในอนาคตด้วย ผลสำเร็จของการดำเนินงานของพระองค์อยู่ที่ความ “คุ้มค่า” มากกว่า “คุ้มทุน” ดังพระราชดำรัสที่ว่า “Our Loss is Our Gain” หรือ “ขาดทุนคือกำไร” เพราะผลที่ได้จากการลงทุน คือ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ไม่ใช่เป็นตัวเงินหากพิจารณาตามหลักเศรษฐศาสตร์จะถือเป็นการลงทุนที่ขาดทุนหรือไม่คุ้มทุน แต่สำหรับพระองค์แล้วทรงถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ายิ่ง

๒. “ไม่ติดตำรา”
การพัฒนาตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีลักษณะของการพัฒนาที่อนุโลม และรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสภาพของสังคมจิตวิทยาแห่งชุมชน คือ “ไม่ติดตำรา” ไม่ผูกมัดติดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของคนไทย

๓. “บริการรวมที่จุดเดียว One-stop Services”
ทรงเน้นในเรื่องการสร้างความรู้รัก สามัคคีและการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกัน ด้วยการปรับลดช่องว่างระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มักจะต่างคนต่างทำและยึดติดกับการเป็นเจ้าของเป็นสำคัญให้แปรเปลี่ยนเป็นการร่วมมือกันโดยไม่มีเจ้าของ และสามารถอำนวยประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชน ดังเห็นได้จากแนวพระราชดำริในการดำเนินงานบริหารของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่มีอยู่ทั้งหมด ๖ ศูนย์ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ นับเป็นรูปแบบใหม่ของการบริหารที่เป็นการ “บริการรวมที่จุดเดียว” และ “การบริการแบบเบ็ดเสร็จ” หรือ “One-stop Services” ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในระบบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทยอย่างแท้จริง

๔. “แก้ปัญหาที่จุดเล็ก”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเปี่ยมไปด้วยพระอัจริยภาพในการแก้ปัญหา ทรงมองปัญหาในภาพรวม (Macro) ก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาของพระองค์จะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ (Micro) คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่คนมักจะมองข้ามดังพระราชดำรัสที่ว่า “ถ้าปวดหัวก็คิดอะไรไม่ออก เป็นอย่างนั้นต้องแก้ไขการปวดหัวนี้ก่อน มันไม่ได้เป็นการแก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปวดหัวก่อน เพื่อที่จะให้อยู่ในสภาพที่คิดได้ แบบภาพรวม (Macro) นี้เขาจะทำแบบรื้อทั้งหมด ฉันไม่เห็นด้วย อย่างบ้านคนอยู่ เราบอกบ้านนี้มันผุตรงนั้น ผุตรงนี้ ไม่คุ้มที่จะไปซ่อม เอาตกลงรื้อบ้านนี้ระเบิดเลย เราจะไปอยู่ที่ไหน ไม่มีที่อยู่ วิธีทำต้องค่อย ๆ ทำจะไประเบิดหมดไม่ได้”

๕. “ระเบิดจากข้างใน”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเน้นการพัฒนาที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนนั่นคือ ทำให้ชุมชนหมู่บ้านมีความเข้มแข็งก่อนแล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก มิใช่การเอาความเจริญหรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนหมู่บ้านที่ยังไม่ทันมีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว ทรงใช้ความว่า “ระเบิดจากข้างใน”

๖. “ทำให้ง่าย - Simplicity”
ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทำให้การคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง และแก้ไขงานการพัฒนาประเทศ ตามแนวพระราชดำริดำเนินไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่และระบบนิเวศโดยส่วนรวม ตลอดจนสภาพทางสังคมของชุมชนนั้น ๆ ทรงโปรด ที่จะทำสิ่งที่ยากให้กลายเป็นง่าย ทำสิ่งที่สลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย อันเป็นการแก้ปัญหาด้วยใช้กฎแห่งธรรมชาติเป็นแนวทางนั่นเอง แต่การทำสิ่งที่ยากให้กลายเป็นง่ายนั้นเป็นของยาก ฉะนั้นคำว่า “ทำให้ง่าย” หรือ “Simpilicity” จึงเป็นหลักคิดสำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศในรูปแบบของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

๗. “ใช้อธรรมปราบอธรรม”
นอกเหนือจากการ “ทำให้ง่าย” แล้ว ยังทรงนำความจริงในเรื่องความเป็นไปแห่งธรรมชาติ และกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการ แนวปฏิบัติที่สำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่ปรกติให้เข้าสู่ระบบที่เป็นปรกติเช่น การนำน้ำดีขับไล่น้ำเสีย หรือเจือจางน้ำเสียให้กลับเป็นน้ำดี ตามจังหวะการขึ้นลงตามธรรมชาติของน้ำ การบำบัดน้ำเน่าเสียโดยใช้ผักตบชวา ซึ่งมีตามธรรมชาติให้ดูดซับสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำดังพระราชดำรัสว่า “ใช้อธรรมปราบอธรรม”


ป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง

“ป่าไม้ที่จะปลูกนั้น สมควรที่จะปลูกแบบป่าใช้ไม้หนึ่ง ป่าสำหรับใช้ผลหนึ่ง ป่าสำหรับใช้เป็นพืชอย่างหนึ่ง ป่าสำหรับใช้เป็นพืชอย่างหนึ่ง อันนี้แยกออกไปเป็นกว้าง ๆ ใหญ่ ๆ การที่จะปลูกต้นไม้สำหรับได้ประโยชน์ดังนี้ ในคำวิเคราะห์ของกรมป่าไม้รู้สึกจะไม่ใช่ป่าไม้ เป็นสวนหรือจะเป็นสวนมากกว่าป่าไม้ แต่ในความหมายของการช่วยเหลือเพื่อต้นน้ำลำธารนั้น ป่าไม้เช่นนี้จะเป็นสวนผลไม้ก็ตาม นั่นแหละเป็นป่าไม้ที่ถูกต้อง เพราะทำหน้าที่เป็นป่า คือ เป็นต้นไม้และทำหน้าที่เป็นทรัยพากรในด้านสำหรับให้ผลที่มาเป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้”
ประโยชน์ที่ได้รับ
ในการปลูกป่า ๓ อย่างนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชาธิบายถึงประโยชน์ในการปลูกป่าตามพระราชดำริว่า
“การปลูกป่า ๓ อย่าง แต่ให้ประโยชน์ ๔ อย่าง ซึ่งได้ไม้ผล ไม้สร้างบ้าน และไม้ฟื้นนั้น สามารถใช้ประโยชน์ได้ถึง ๔ อย่าง คือ นอกจากประโยชน์ในตัวเองตามชื่อแล้ว ยังสามารถให้ประโยชน์ที่ ๔ ซึ่งเป็นข้อสำคัญ คือ สามารถช่วยอนุรักษ์ดินและต้นน้ำลำธารด้วย”

การเกษตรแบบยั่งยืนมีด้วยกัน ๕ ประเภท คือ

๑. เกษตรธรรมชาติ คือ รูปแบบการเกษตรที่สร้างผลผลิตพืชและสัตว์ให้สอดคล้องกับระบบนิเวศของพื้นที่ โดยพยายามแทรกแซงการใช้ปัจจัยและเทคโนโลยีทางการผลิต่าง ๆ ให้น้อยที่สุด เพื่อให้ระบบเกษตรกรรมและธรรมชาติเกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นองค์รวม

๒. เกษตรอินทรีย์ คือ รูปแบบการเกษตรที่หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เพื่อความปลอดภัยในสุขภาพ มีการใช้ซากสัตว์ มูลสัตว์ การปลูกพืชหมุนเวียน แร่ธาตุตามธรรมชาติในการปรับปรุงดิน ผสมผสานกับการกำจัดศัตรูพืชโดยชีววิธี หรือสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ช่วยในการควบคุมและทำลายศัตรูพืช

๓. เกษตรผสมผสาน คือ รูปแบบการเกษตรที่มีการปลูกพืชและหรือมีการเลี้ยงสัตว์หลายชนิดในพื้นที่เดียวกันโดยที่กิจกรรมการผลิตแต่ละชนิดจะต้องสามารถเกื้อกูลประโยชน์กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในไร่นา เช่น ดิน น้ำ แสงแดด อย่างเหมาะสม เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งมีความสมดุลของสภาพแวดล้อมและเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ

๔. วนเกษตร คือ รูปแบบการเกษตรที่มีระบบการใช้ที่ดินเพื่อดำรงกิจกรรมการเกษตรต่าง ๆ ระหว่างต้นไม้ในพื้นที่ป่าหรือไม้ยืนต้นที่ปลูกขึ้น โดยที่การปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์จะต้องมีความสอดคล้องซึ่งกันและกัน และเน้นการจัดการป่าไม้ให้ใช้ประโยชน์ร่วมกับกิจกรรมทางการเกษตรได้ รวมทั้งเกื้อกูลต่อระบบนิเวศป่าไม้ในท้องถิ่น

๕. เกษตรทฤษฎีใหม่ คือ รูปแบบการเกษตรที่มาจากแนวคิดหรือทฤษฎีที่เน้นการจัดการทรัพยากรน้ำในไร่ เพื่อสร้างผลผลิตอาหารที่เพียงพอ และเพื่อการผลิตที่หลากหลายสำหรับเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงแก่ครัวเรือนเกษตรกรตลอดจนเป็นการแก้ไขปัญหาความยากจนและขาดแคลนทรัพยากรให้บรรเทาลงจนกระทั่งพัฒนาถึงขั้นที่เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยแบ่งสัดส่วนพื้นที่ดำเนินการออกเป็น ๓๐ : ๓๐ : ๑๐ เพื่อใช้ในการปลูกข้าว ปลูกไม้ยืนต้น พื้นที่ขุดสระกักเก็บน้ำ และที่เหลือใช้เป็นที่อยู่อาศัยตามลำดับ ซึ่งสัดส่วนของพื้นที่สามารถยืดหยุ่นได้ตามสภาพของพื้นที่และขนาดของแรงงานในครัวเรือน